วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บุโรพุทโธ (Borobudur)

บุโรพุทโธ (Borobudur) สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก ตั้งอยู่ที่เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย จากตัวเมือง Yogyakarta ประมาณ 40 km เป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธนิกายมหายาน
ถ้าไม่นับนครวัดของกัมพูชาซึ่งเป็นทั้งศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู บุโรพุทโธจะเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก

สำหรับทริปบาหลี จัดเพิ่มมาเที่ยวที่บุโรพุทโธ นั่งเครื่องบินภายในประเทศจากสนามบินเดนพาซาร์มาลงที่ยอร์คยาการ์ตา ใช้เวลาประมาณ 30 นาที (รีวิวสายการบิน Garuda Indonesia) จากนั้น นั่งรถแท็กซี่อีกประมาณ 1 ชม.เศษไปยังที่พักซึ่งที่พักแนะนำของการมาเที่ยวบุโรพุทโธ คือ ที่ โรงแรม Manohara Hotel ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณของศาสนสถานบุโรพุทโธเลย
รีวิวโรงแรม Manohara

ข้อดีที่พิเศษที่สุดของการมาพักที่นี่คือ จะได้สิทธิพิเศษในการขึ้นชมบุโรพุทโธรอบเช้ามืด เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน (นักท่องเที่ยวที่พักโรงแรมข้างนอก ไม่สามารถเข้าชมได้ในเวลานี้ ต้องรอเวลาเปิดอย่างเป็นทางการคือหลังแปดโมงไปแล้ว) แนะนำสำหรับใครที่มาเที่ยว พักที่นี่ และแพลนล่วงหน้าการจองโรงแรมไว้อย่างน้อย 6 เดือน ไม่งั้นเต็มจ้า สำหรับบัตรเข้าชม ซื้อเป็นคูปองได้จากล็อบบี้ของโรงแรม คนละ 230,000 RP (จองโรงแรม Manohara Hotel ล่วงหน้าราคาถูก คลิกที่นี่เลย)

ตั้งเวลาตื่นกันประมาณตีสี่ครึ่ง จากนั้น เดินตามแผนที่ทะลุสวนหลังโรงแรมไปประมาณ 10 นาที คนเยอะทีเดียว ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติแถบยุโรปและญี่ปุ่น มีคนไทยบ้างเล็กน้อย

ใกล้สว่างแล้ว ก็ขึ้นมาจับจองที่นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน

บุโรพุทโธเป็นสถูปแบบมหายาน สร้างโดยกษัตริย์วิษณุแห่งราชวงศ์ไศเลนทร์ทรงเริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 775 (ก่อนปราสาทนครวัดของกัมพูชาประมาณ 300 ปี) แล้วเสร็จสมบูรณ์ในสมัยของกษัตริย์อินทราเมื่อปี ค.ศ. 847 ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 70 ปีเศษ
บุโรพุทโธนี้ ตั้งอยู่บนที่ราบเกฑุระหว่างแม่น้ำโปรโกและแม่น้ำอีไล ซึ่งจำลองมาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำคงคาและแม่น้ำยมุนาไหลมาบรรจบกันเช่นที่ประเทศอินเดียโดยสถาปัตยกรรมการสร้างนี้ สร้างตามแบบศิลปะฮินดู-ชวา หรือ ชวาภาคกลางที่ผสมผสานกันระหว่างอินเดียกับอินโดนีเซีย 
ประมาณเวลาหกโมงเช้านิดๆ พระอาทิตย์ก็ขึ้นมาอวดโฉมกัน สวยงามเกินคำบรรยายจริงๆ


เริ่มสว่าง นักท่องเที่ยวก็เริ่มเดินถ่ายรูปรอบๆ สถูปที่ตั้งเรียงรายอยู่ ด้านล่างมองลงไปจะเห็นวิวทะเลหมอก (แบบต่ำๆ) โดยรอบ อากาศเย็นสบาย

เนื่องจากมีเฉพาะแขกของโรงแรม ในช่วงเช้านี้ ทำให้การเที่ยวชมทำได้อย่างสบาย ไม่พลุกพล่านวุ่นวาย คนน้อย

จัด Panorama กันไปซักรูป

แนะนำให้เดินชมวิวบนลานกลม ซึ่งมีพระสถูปที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆลดหลั่นกันไป ถ่ายรูปกันซักรอบนึง จะได้เห็นวิวที่แตกต่างกัน

พอแสงมาเราก็จะได้เห็นสถาปัตยกรรมโดยรอบของบุโรพุทโธ ด้านรอบจะเป็นรูปแกะสลักตามชั้นต่างๆ

เดินลงมายังด้านล่าง ด้านหน้าเราจะเห็นรูปทรงที่ชัดเจนของบุโรพุทโธ การสร้างบุโรพุทโธนี้ ทำโดยนำหินภูเขาไฟมาเรียงต่อกันเป็นรูปทรงแบบพีระมิด กินพื้นที่ประมาณ 2 ล้านตารางฟุตบนฐานสี่เหลี่ยม กว้างด้านละ 121 เมตร สูง 403 ฟุต 

บุโรพุทโธมีทั้งหมด 10 ชั้น แต่ละชั้นจะมีภาพสลักนูนต่ำแสดงคติธรรมทางพุทธศาสนาเกี่ยวกับจักรวาลและการเข้าสู่นิพพาน 6 ชั้นนับจากฐานเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมเหมือนพีระมิดขั้นบันไดส่วนชั้นที่ 7 เป็นฐานวงกลมขนาดใหญ่  ขึ้นไปอีก 3 ชั้น (ชั้นที่ 8-10) ประดับเจดีย์ทรงระฆังโปร่งฉลุลายเป็นรูปสี่แหลี่ยมข้าวหลามตัด  ครอบองค์พระพุทธรูปองค์เล็กข้างใน

ภาพสลักรอบๆ บุโรพุทโธนี้ มีถึง 2,672 ชิ้น

ภาพสลักนูนต่ำชั้นที่ 1-6 แสดงคติธรรมทางพุทธศาสนา



บันไดค่อนข้างชันทีเดียว ผู้สูงอายุและเด็กเล็ก ควรใช้ความระมัดระวังในการเดิน



พอชั้นเริ่มสูงขึ้น ภาพแกะสลักก็จะเร่ิมเกี่ยวเนื่องกับ ผู้ทรงศีลและพระมากขึ้น

ลานด้านบนสุดก่อนที่จะขึ้นไปยังบนลานวงกลมที่เป็นที่ประดิษฐานสถูปเจดีย์

บุโรพุทโธนั้น เคยถูกทิ้งร้างในป่ารกมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19  และประสบกับแผ่นดินไหวจมอยู่ใต้เถ้าถ่านของภูเขาไฟซึ่งระเบิดอย่างต่อเนื่องและในศตวรรษที่ 20 ยังโดนน้ำท่วมซ้ำจากเหตุฝนตกหนัก ทำให้บุโรพุทโธจมอยู่ใต้น้ำลึกถึง 3 เมตร เป็นเหตุให้ดินภูเขาไฟที่ครอบสถูปบุโรพุทโธอยู่ชื้นแฉะและทรุดตัวลง ตัวบุโรพุทโพเองก็เลยทรุดตามไปด้วย

ต่อมา Sir Stamford Raffles  ผู้สำเร็จราชการของอังกฤษเพื่อปกครองอาณานิคมชวาในช่วงนั้น (คนเดียวกับผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์) ได้เห็นความสำคัญของที่นี่ จึงเริ่มบูรณะขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1855 และได้รับการช่วยเหลือในการบูรณะจากองค์การยูเนสโก้ เข้ามาซ่อมแซมฐานรากที่ทรุดโทรมจากภัยธรรมชาติ แลละเปิดให้ผู้คนทั่วโลกเข้ามาเยี่ยมชม

เดินกันมาถึงบนลานวงกลมชั้นบน จะมีสถูปเจดีย์เรียงรายลดหลั่นกันมา ตามความเชื่อกันว่าหากยื่นมือไปจนถึงและสัมผัสพระพุทธรูปภายในได้พร้อมอธิษฐานแล้วจะสมหวังและโชคดี  เจดีย์เหล่านี้มีจำนวน 72 องค์ เรียงเป็นแนวล้อมรอบสถูป

วงกลมใหญ่ของเจดีย์องค์ประธานสูง 150 ฟุต  เดิมเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่ข้างใน  แต่ปัจจุบันว่างเปล่า 

ทุกๆปีในวันวิสาชบูชา จะมีพระสงฆ์และนักแสวงบุญจากทั่วโลกมาเดินทักษิณาวัตรตั้งแต่ประตูใหญ่ด้านทิศตะวันออกจนถึงยอดรวมระยะทางทั้งสิ้นราว 5 กิโลเมตร ความสวยงามและความมหัศจรรย์ในการก่อสร้างที่นี่ ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESCO เมื่อปีพ.ศ.2534 ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวแนะนำอันดับต้นของอินโดนีเซียเลยทีเดียว